ความต้องการของหัวใจ
การหลงรักใครสักคนโดยที่รู้ว่า มันไม่ควรจะรัก เมื่อรักแล้ว จึงลืมยาก และอยากลับมาสัมผัสรักนั้นอยู่ร่ำไป
ผู้เข้าชมรวม
84
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
“สวัสดีค่ะ พี่ปอนด์รึป่าวค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกัน ในตอนนั้นต้องโทรหา เพราะเค้าเป็นพนักงานมาบรรจุที่สาขาคนใหม่ ตัวเราเองเป็นพนักงานฝ่ายบุคคล จึงต้องโทรสอบถามว่า ต้องการที่พักสำหรับการมาอยู่ที่สาขามั๊ย
“ ใช่ ค่ะ”เมื่อได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่า ต้องใช่แน่ๆ ในใจรู้สึก ตื่นเต้น !! ทำไม!! ทำไม!! ต้องตื่นเต้น มันพูดไม่ออก
กระสัพ กระส่าย (มันเกิดอะไรขึ้น กับตัวเราเนี่ย) ในมือก็ยังคงถือโทรศัพท์อยู่ ปลายสายยังคงอยู่
เรา: “พี่ๆๆๆค่ะ ต้องการที่ห้องพักมั๊ยค่ะ ”
พี่ปอนด์: “จากไหนค่ะ”
เรา: “ชื่ือ อร ค่ะ ฝ่ายบุคคล สาขาชลบุรีค่ะ”
พี่ปอนด์ : “ห้องพักหรอ อยู่ตรงไหน ใกล้ที่ทำงานมั๊ย”
เรา : “ใกล้ค่ะพี่ ”
พี่ปอนด์: “อ้อ งั้นเดี๋ยวพี่ค่อยไปดู”
เรา: “ค่ะ สวัสดีค่ะ”
ทั้งๆที่ยังพูดกันไม่จบ เรารีบวางสายเพราะมันตื่นเต้น ไม่รู้จะทำยังงัย เลยต้องตัดบทและรีบวางสาย
เมื่ือเวลา ผ่านไปจนถึงวันที่พี่เค้ามาถึง … พี่เค้าเป็นคนรูปร่างสูง อวบ ขาว ผิดกับเราที่ตัวผอม เล็ก เมื่อได้เห็นก็รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร ตื่นเต้นอีกแล้ว แล้วงัยต่อ ทำงัยต่อ คิดอยู่ในหัว วนไปวนมา!!
ติ๊งต๊อง!! เสียงประชาสัมพันธ์ ผู้จัดการสาขาเรียก รวมพลเพื่อต้อนรับ ผู้จัดการแผนกคนใหม่ แต่ละแผนกก็มารวมตัวกันเพื่อทำความรู้จักผู้จัดการแผนกใหม่ เวลาผ่านไป 1 ชัั่วโมงเป็นอันเสร็จสิ้นการพบปะพูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงมอบหมายหน้าที่ในการทำงาน สุดท้ายผู้จัดการก็ฝากพี่เค้าให้เราช่วยหาที่พัก และช่วยแนะนำส่วนต่างๆของบริษัทที่พนักงานควรรู้ ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน ส่วนพี่ปอนด์เดินไปที่โต๊ะกับเรา
“พี่ปอนด์ หลังเลิกงานไปกับอรนะ อรจะพาไปหาห้องเช่า พี่ปอนด์ เป็นทอมใช่มั๊ย” คำถามจากเรา เอาจริงนะ ตอนที่ถามไม่ได้คิดอะไร หรือเรียกว่า พูดไม่คิดนั่นเอง
เงียบ!! “โอเคร”
เออดีเนาะ วัยรุ่นดี คงเข้าใจกันง่าย (อันนี้ความคิดเรา)
ตอนเย็น หลังเลิกงาน ก็พากันไปหาห้องเช่า เราไปกับน้องในพื้นที่อีก 2 คน ซ้อนมอไซร์กันไป 2 คัน หาห้องเช่า 3 ที่ กว่าจะได้ที่ๆถูกใจพี่เค้า ก็เป็นการเส็จสิ้นภาระกิจการหาห้องเช่า
วันต่อมาก็เป็นวันทำงาน พี่เค้าก็มาทำงานปกติ เดินตรวจตราตามหน้างานของตัวเอง ตัวเราก็ทำงานที่โต๊ะทำงานของเรา จนเวลาเที่ยง พี่เค้าก็เดินมาหา ถามว่าวันนี้กินข้าวที่ไหน ตัวเราเองมีแฟนมารับกินข้าวกลางวัน เพราะแฟนเราเข้ากะดึกเลยตื่นเที่ยงมาทันพาไปกินข้าว
เรา : แฟนมารับค่ะพี่
พี่ปอนด์ : อ้อ เหรอ
แล้วก็แยกย้าย หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกัน อาจเป็นเพราะไม่รู้จะต้องคุยกันเรื่องอะไร จนวันที่ 1 ของเดือนถัดไป เป็นวันที่ต้องแจกสลิปเงินเดือน
เรา : พี่ปอนด์ค่ะ สลิปเงินเดือนค่ะ
พี่ปอนด์ : อืม
แล้วก็แกะออกดูทันที พร้อมทั้งหันมาหาเราแล้วถามว่า “อร ของพี่ได้ค่าอะไรบ้างง่ะ ”
เรา : อ้อ ของพี่ เป็นเงินเดือน ค่าตำแหน่ง แล้วก็ค่าครองชีพค่ะ ค่าครองชีพง่ะ แต่ละพื้นที่ไไม่เท่ากันนะคะ
พี่ปอนด์ : อ้อ
จบ แล้วก็ผ่านไป หลังจากนั้น เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้ง แต่ไม่ได้ไปกัน 2 คนนะ ไปกันก็ 3-4 คนตลอด ไปกินส้มตำกันบ้าง ไปเยี่ยมน้องพนักงานที่ป่วยบ้าง ไปสัมนาต่างจังหวัดด้วยกันบ้าง ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมา เลยทำให้เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น จนผ่านไป 10 เดือน
ในตอนแรกเราก็ทำงานที่นี้ราบรื่นปกติดี ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นที่เปลี่ยนไป ทำให้พี่สาวของเราลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ และออกมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยมีพี่สาว และพี่เขยที่ยังคงทำงานประจำอยู่ด้วยนั้น บริหารจัดการกันอยู่ 2 คน ด้วยพี่สาวของเราเป็นคนที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร แกเป็นคนใจดีมาก ไม่เคยระวังคนรอบข้าง จนทำให้บริษัทเกือบต้องปิดกิจการ เพราะเพื่อนสนิทของพี่เขยที่เข้ามาช่วยในเรื่องการตลาด ได้นำเอาสินค้าจากบริษัทอื่นที่ไ่ม่ได้คุณภาพมาขายในนามบริษัทพี่สาว เป็นเหตุให้ลูกค้าได้รับความเสียหายและสั่งยกเลิกการผลิตทั้งหมด ส่งผลต่อรายรับของบริษัทอย่างมาก พี่สาวจึงโทรหาเราเพื่อให้มาช่วยกัน เราเลยต้องลาออกจากงานที่ทำอยู่อย่างกระทันหัน ในตอนสิ้นเดือน
เมื่อเพื่อนๆที่ทำงานรู้ข่าว รวมถึงพี่ปอนด์ด้วย คุยกันว่าจะไปกินข้าว ร้องคาราโอเกะกันเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งด้วย เย็นของวันนั้น เราโทรบอกแฟนว่าวันนี้ที่ทำงาานเค้าจัดงานเลี้ยงส่งให้ อรกลับดึกนะ จริงๆแฟนเราก็ไม่อยากให้ไป เพราะวันนั้นเค้าเข้ากะดึก ไม่ได้ไปรับเองเลยอยากให้อยู่บ้าน เราก็บอกไม่เป็นรัย เดี๋ยวค่อยให้พี่ที่ทำงานไปส่ง
หลังเลิกงาน เราก็เตรียมตัวออกจากบริษัท ทันใดนั้น รถพี่เค้าก็มาจอดหน้าประตูที่เรากำลังจะเดินออกพอดิบ พอดี
เรา : อ้าว พี่ปอนด์
พี่ปอนด์ : อร ไปร้านกัน
เรา : แล้วคนอื่นละค่ะ
พี่ปอนด์ : เดี๋ยว เค้าตามไป
เราก็เลยเดินขึ้นรถอย่างงงๆ ไปก็ไป พอนั่งอยู่ในรถด้วยกัน เราก็ใจเต้น แบบ เร็วมาก เหมือนกับว่า หัวใจมันจะทะลุออกมาด้านนอกให้ได้ นั่งรถกันไปก็ชวนคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ว่าลาออกแล้วจะไปทำอะไร พี่อยู่ที่นี่ต่ออีกนานมั๊ย ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงร้านที่เรานัดมาเจอกัน อันที่จริงร้านอยู่ใกล้มากนะ แต่ด้วยความที่ต้องกลับรถเลยยืดเวลา ที่จะได้อยู่ด้วยกัน สองคน แค่สองคน ได้อีกพักใหญ่ ส่วนคนอื่นเค้าก็ถึงร้านกันหมดแล้ว เพราะขี่มอไซร์ย้อนสรกันมา พร้อมสั่งอาหารกันไว้เรียบร้อย เราไปถึงก็สั่งอาหารที่อยากกินเพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วก็นั่งกินกัน ร้านทีี่เราไปมันเป็นห้องคาราโอเกะด้วย คือกินไปร้องเพลงไป ก็สนุกดีนะ นั่งไปเรื่อยๆ กินบ้าง ร้องเพลงบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้าง อ้าว!! โทรศัพท์แบตจะหมด เราพูดออกมาโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร มันก็เรียกว่าคำอุทานก็ได้เนาะ แต่ข้างเรา พี่ปอนด์นั่งอยู่ และได้ยินสิ่งที่เราพูดออกไป สิ่งที่พี่ปอนด์ทำ คือรีบลุกขึ้นไปหยิบสายชาร์ตแบตที่อยู่ในรถให้ทันที โดยที่เราไม่ได้เอ่ยบอกขอเลยสักนิด แล้วเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมสายชาร์ต เราอึ่งไปประมาณ 3 วิ แล้วก็พูดว่า “ขอบคุณค่ะ”
เฮ้ย!! พี่เค้าดีง่ะ พี่เค้ารู้ใจเราด้วยง่ะ พี่เค้าต้องคิดอะไรกับเราแน่เลยง่ะ (ทุกๆอย่างคิดอยู่ในใจ) ….
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ PPรักในใจ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ PPรักในใจ
ความคิดเห็น